DIARY

The Red Turtle : เพราะชีวิตคือชีวิต [สปอยล์สุดชีวิต]

ภาพยนตร์แอนิเมชั่น 2D  ว่าด้วยเรื่องราวของชายคนหนึ่ง ที่ถูกพายุใหญ่พัดพามาติดเกาะร้างกลางทะเล และชีวิตของเขาก็ต้องดำเนินต่อไป

หนังเรื่องนี้เป็นการทำงานร่วมกันของ Wild Bunch กับ Studio Ghibli กำกับโดย Michaël Dudok de Wit จุดเด่นของมันคือเป็นหนังที่ไม่มีบทสนทนา ภาพสวย เพลงประกอบฟังเพลิน เห็นแล้วนึกถึงลายเส้นของแซงเต็กซูเปรีในหนังสือเจ้าชายน้อย ส่วนความละเมียดละไมในฉากก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของจิบลินะ สวยงามดี

บอกเลยเป็นหนังที่เรียบมาก ถ้าคนที่ชอบความตื่นเต้น สนุกสนาน ความตลก ที่คิดว่าจะได้จากแอนิเมชั่น แนะนำให้หาเรื่องอื่นดู

เอาว่าแค่เทียบจากหนังเรื่องอื่น ๆ ในจิบลิด้วยกัน เต่าแดงเป็นหนังที่ไม่มีความหวือหวาอย่างที่สุด จะว่าดูง่ายก็ง่าย เพราะมันง่ายจริง ๆ ถ้ามองตามเนื้อเรื่อง จะว่ายากก็ยาก ถ้าเราพยายามคิดว่าผู้กำกับกำลังจะบอกอะไรกับคนดู

ในมุมมองของเรา สรุปง่ายๆ ว่ามันคือวิถีชีวิตทั่วไปของมนุษย์นี่แหละ การได้มีชีวิตอยู่ ได้ใช้ชีวิตกับใครสักคน มีครอบครัว และตายไปอย่างสงบ

******สปอยล์แบบไม่เกรงใจละนะ******

หนังบอกเล่าเรื่องราวการดำรงชีวิตของลูกผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชื่ออะไรไปเรื่อย ๆ ต้นเรื่องเหมือนกำลังนั่งดู Cast Away ฉบับการ์ตูน การดำรงชีพอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขา มีฝูงปูเป็นเพื่อน และแน่นอน เพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่ดิ้นรน คุณพี่เขาเลยต้องต่อแพเพื่อที่จะออกไปจากเกาะนี้ให้ได้

หนังไม่ได้พูดถึงความยากในการดำรงชีวิตแบบป่า ๆ เท่าไหร่ ให้คนดูรับรู้กันไปเองล่ะ ว่ามันไม่ง่าย สัจธรรมต่าง ๆของการใช้ชีวิต ถูกนำมาเปรียบเทียบด้วยเรื่องราวในเรื่อง

ตอนที่พระเอกมาถึงเกาะ ออกสำรวจ แล้วมองเห็นถังใบหนึ่งลอยอยู่กลางทะเล ความหวังเกิดขึ้น คุณพี่ก็ยอมเสี่ยงที่จะไปเอาถังใบนั้นมา ก็ไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ตกลงไปในปล่องที่กว่าจะหาทางออกได้ก็ปางตายนะ แต่พอได้ถังมากลับพบว่ามันไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย ฝันสลายครั้งแรกบนเกาะนี้

แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตต้องไปต่อ

เริ่มสะสมไม้ไผ่ทำแพ

การได้เห็นลูกเต่าน้อยฟักตัวออกมาจากไข่แล้วกลับทะเล ก็ทำให้พี่เค้าหลับฝันไปว่ามีสะพานมาเกยถึงหาด พาพี่เค้าไปจากเกาะนี้ ว่ายน้ำไปแบบสบาย ๆ อย่างพวกเต่า

ซึ่ง…ในโลกของความจริง คนที่ตกที่นั่งลำบากก็มักจะมีความหวังและความฝันแบบนี้นะ หวังอยากจะพบกับความง่ายในสักวันหนึ่ง แต่มันก็ทำได้แค่ฝัน เพราะพอตื่นขึ้นมา ความจริงข้างหน้าก็ยังคงเป็นทะเลเวิ้งว้าง และที่ยิ่งตอกย้ำความเป็นจริงคือ ไม่ใช่เต่าน้อยทุกตัวที่จะรอด แถมโดนปูที่ดูเหมือนจะกากที่สุดในเรื่องลากไปกินซะงั้น

คืนวันผ่านไป แพไม้ไผ่เริ่มเป็นรุปร่าง แต่จนแล้วจนรอด คุณพี่เขาก็ไปจากเกาะไม่ได้สักที เอาแพออกไปได้ไม่เท่าไหร่ แพก็แตก จนสุดท้าย ก็ได้พบกับต้นตอที่ทำให้แพแตก นั่นคือ “เด่าแดง” ตัวหนึ่ง

เต่าแดงที่นำมาซึ่งความงงงวย เพราะไม่รู้จะตีความว่ามันคืออะไร

โชคชะตา? ก็อาจจะใช่

พระเอกของเราพยายามมาจนถึงจุดที่สิ้นหวังซ้ำซ้อนละ นอนหมดอาลัยตายอยากจนมดขึ้น แต่ลึก ๆ ในใจก็ยังแอบมีความหวังนะ การหลอนจนเห็นวงเครื่องสายนี่ เรามองว่าคุณพี่เค้าน่าจะเคยอยู่ในสังคมที่หรูหรามาก่อนที่จะมาเป็นชาวเกาะ แต่ก็นั่นแหละ ทุกครั้งที่ตื่น เร่ืองจริงที่สุดก็คือ แกไม่มีใครนอกจากตัวแกเอง

ยังคงต้องเดียวดายใต้เงาจันทร์ต่อไป

การเดินทางครั้งใหม่เริ่มขึ้น และคราวนีี้ ต้นตอที่ทำให้แพแตกมาเผชิญหน้ากันแบบแมนๆ  ถล่มแพซะไม่เหลือซาก แถมตามมาหยามกันถึงบนบก เลยโดนคุณพระเอกเอาไม้ฟาดหัวจับหงายกระดองนอนตากแดดตากลมอยู่บนหาด ทรมานเสียให้สาสม

บางครั้งบางครา โชคชะตาก็ถล่มทับถมเราเสียจนยับ แล้วเราก็เลือกที่จะแข็งกร้าวต่อโชคชะตาที่โหดร้ายกับเรา

แต่พระเอกย่อมเป็นพระเอก ทำรุนแรงไปแล้วก็แอบสำนึกเสียใจ แถมมาฝันอีกว่าเต่าคู่แค้นบินขึ้นฟ้าหนีไปอีก (คล้ายนิยายน้ำเน่านะ) แต่สำนึกได้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เต่าแดงตายแล้ว

แต่เดี๋ยวก่อน !!!!!!!!!!

เต่ากลายเป็นหญิงสาวผมแดงจ้าาาาาาาาาา

จุดนี้อยากถามผู้กำกับว่ามีมุมมองในเรื่องของผู้หญิง ความรัก ชีวิตคู่ แบบไหน ถึงให้นางเอกเป็นเต่าทะเล

คือพี่แกคงไม่บอกว่านางเป็นเทพ หรือเจ้าแม่เต่าแดงอะไรแบบนี้ใช่มะ

เมื่อมีหญิงสาวนอนแบบอยู่ในกระดองเต่า ก็เหมือนชีวิตมีอะไรที่ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น จากที่ตัดไม้ไผ่เพื่อจะหาทางออกจากเกาะ ก็เปลี่ยนเป็นตัดมาทำร่มเงาให้เธอ นั่งเฝ้านอนเฝ้ากันไป ข้ามวันข้ามคืนตากแดดตากฝนพี่ก็ยอม เพราะพี่ทำให้เธอลำบาก (นี่ตกหลุมรักเต่าไม่รู้ตัวสินะ)

พอน้องเต่าฟื้นขึ้นมาหลังจากฝนตก น้องนางก็หนีลงไปอยู่ในน้ำ เพราะโป๊ พระเอกที่มีใจไปแล้วเลยถอดเสื้อไว้ให้ริมหาด

นีี่เท่ากับเป็นการยอมรับไปโดยปริยายนะ เพราะมันเกิดการแบ่งปันสิ่งสำคัญในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง ให้กับคนอีกคนแล้ว

ช่วงนี้ของหนัง เดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือกละ จะออกไปตามหาความฝันหรือจะเลือกเธอคนนั้น แม้ว่าพระเอกจะยังมีความสับสน แต่พอเห็นสาวเจ้ายอมทิ้งกระตองเต่า หัวใจของผู้ชายคนหนึ่งก็หวั่นไหว

การยอมเปลี่ยนแปลง การยอมละทิ้งตัวตน มักจะเกิดขึ้นเสมอเมื่อผู้หญิงมีความรัก บางคนถึงกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางเอกในเรื่องก็เช่นกัน (เปลี่ยนจากเต่ามาเป็นคนได้นี่ มันต้องเปลี่ยนขนาดไหนคิดดู)

ถึงคราวที่พระเอกต้องตัดสินใจบ้างแล้ว แพที่ต่อไว้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งเราตีความมันคือความฝันที่ยังคงค้างคา ถูกลอยออกไปโดยไร้ผู้โดยสาร เขาเลือกแล้วที่จะปักหลักบนเกาะนี้ ..กับเธอ

ชีวิตใหม่เริ่มต้นขึ้น น้องเต่าได้สอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับเขา ฉากที่ทั้งคู่กินหอยท่ามกลางดวงดาวเต็มฟ้านี่ มันโรแมนติกแบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก ยิ่งตอนที่พระเอกนึกไปถึงว่าได้ทำร้ายเธอไปมากขนาดไหน แต่เธอกลับไม่ถือโทษนี่ มันจี๊ด ภาษาคนดูละครเขาบอกจิกหมอน

ฉากที่ทั้งสองคนเดินตามกันมาเรื่อย ๆ แล้วรอยที่แหวกหญ้าเข้ามาหานางเอกค่อย ๆ ใกล้เข้า ๆ จนในที่สุดทั้งคู่ก็อยู่ห่างกันเพียงนิดเดียว

มันสื่อให้เรารู้แล้วว่า พระเอกมั่นใจมากขึ้นแล้วที่จะใช้ชีวิตอยู่กับน้องเต่า

ไปค่ะ ได้เวลามีเมีย

เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ นกกาโบยบิน – นี่บทอัศจรรย์แบบสวย ๆ แน่นอน

ชีวิตยังคงดำเนินต่อ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก มีเด็กน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

ครอบครัวสุขสันต์รักกันพ่อแม่ลูก

เด็กน้อยไร้เดียงสาได้พบกับขวดแก้วใบหนึ่งที่ลอยมาเกยหาด

เข้าโหมดเด็กน้อยตื่นตาตื่นใจกับโลกกว้าง ในขณะผู้เป็นพ่อก็ทำได้เพียงบอกเล่าถึงโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากเกาะของพวกเขา ผู้เป็นแม่ก็พยายามจะบอกเล่าถึงรากเหง้าอีกครึ่งหนึ่งของเด็กน้อย

วันเวลาผ่านไป เด้กน้อยบังเอิญได้ไปเห็นเต่าที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ในจุดที่พ่อเคยเห็นถังไม้ แล้วก็พลัดตกลงไปในปล่องเดิม

ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือ กว่าที่พ่อจะมุดออกมาได้นี่ปางตาย แต่เด็กน้อยทำได้สบายมาก

ด้วยคำแนะนำของแม่ ความมั่นใจที่แม่มอบให้บวกกับความเป็นลูกครึ่งเต่า(พรสวรรค์ของเด็ก)

ตรงนี้หนังก็บอกเล่ากลาย ๆ ถึงการเลี้ยงลูกให้มีความกล้า และทำให้เด็กรู้ถึงความสามารถที่ตัวเองมี เรื่องยากที่พ่อเคยเจอมา มันเลยกลายเป็นเรื่องง่ายของเด็กไป และแน่นอน พ่อแม่ก็ยังคงเป็นพ่อแม่ ยังห่วงใยลูก ๆ ของพวกเขาเสมอ

ช่วงเวลาที่พ่อแม่จะได้มีความสุขก็เป็นช่วงที่ลูก ๆ ยังเป็นเด็กนี่แหละ จนถึงวันหนึ่งที่พวกเขาโตขึ้นได้ออกไปเรียนรู้โลกภายนอก ได้มีสังคม ซึ่งในเรื่อง สังคมของลูกชายพระเอกคือเต่า (ซึ่งเต่าเหล่านี้ อาจจะหมายถึงสัญชาตญาณของการเป็นการฝ่าฟันอุปสรรค การเป็นนักเดินทาง และเพราะเป็นลูกผู้ชาย ธรรมชาติของเต่าทะเลตัวผู้ เมื่อมันออกจากบ้านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาค่ะ ลูกชายของคู่นี้ก็เช่นกัน)

อีกฉากที่บอกเล่าถึงความรักความผูกพันของครอบครัวและความสำคัญของเพื่อน คือฉากที่สึนามิขึ้น ก็เหมือนเวลาที่บ้านเจอกับปัญหาใหญ่ ลูกคือสิ่งที่พยุงครอบครัวไว้ และนอกจากนี้ยังต้องมีกัลยาณมิตรคอยช่วยเหลือ(เต่าที่พาลูกพระเอกไปตามหาพ่อจนเจอ)

เกาะที่เคยอุดมสมบูรณ์ มาถึงจุดที่ต้องฟื้นฟู

ถ้าครอบครัวใครเคยเจอกับปัญหาใหญ่ ๆ ก็อาจจะพอเข้าใจ ทุกคนในบ้านต้องช่วยกันประคับประคองให้ครอบครัวอยู่รอด ในขณะที่ลึก ๆ ก็ยังคงเก็บซ่อนความฝันของตัวเองเอาไว้จนบางทีก็เกือบลืมไปแล้วว่ามันเคยมีอยู่ ซึ่งมันคือฉากที่ลูกชายพระเอกมาเจอขวดแก้วจมอยู่ในบึงน้ำ แล้วมานั่งคิดอยู่ริมทะเลจนเก็บไปฝัน

ช่วงตรงนี้เป็นฉากที่ชอบนะ ลูกชายเดินคิดไปเรื่อย ๆ ริมหาดในขณะที่พ่อคอยตามมองอยู่ห่าง ๆ มีป่าไผ่กั้นกลาง

เราตีความแบบนี้

ในขณะที่พ่อได้ทิ้งความฝันของตัวเองไปแล้ว เพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่างเป็นข้อจำกัด (ข้อจำกัดที่ว่านั่นเปรียบเทียบกับไม้ไผ่ที่มองเหมือนลูกกรง) แต่ลูกชายยังมีโอกาส (เด็กเดินอยู่ด้านนอกป่าไผ่ริมทะเล)

จนลูกชายเดินสำรวจไปเร่ือย ๆ ตามเส้นทางเก่า ๆ ที่พ่อเคยเดินรอบเกาะ จนกลับมาหาพ่อแม่ที่นอนอยู่ ทุกคนต่างเข้าใจในความคิดของกันและกันดี พ่อแม่ก็รู้ว่าลูกคิดอะไร ส่วนลูกเองก็รู้ว่าพ่อแม่รักและเป็นห่วง

และนั่นสิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจที่จะปล่อยลูกชายไปเติบโตนอกเกาะ แล้วหนุ่มน้อย ก็จากพ่อแม่ไปกับเพื่อนเต่า

มีฉากนึงที่สามคนอยู่ด้วยกัน หญ้าตรงนั้น จะเตียนเหมือนเอาหัวใจมาซ้อนกัน 2 ดวง ทำไมถึง 2 ดวงทั้งที่มี 3 คน มันจะไปเห็นที่อีกฉากตอนที่ลูกไปแล้ว พ่อกับแม่นอนกันอยู่ 2 คน แต่รอยหญ้ามันไม่แยกนะ

รวมไปถึงฉากที่ทั้งคู่เดินเล่นด้วยกันที่ริมหาดตอนแก่ เงาของคู่นี้เค้าก็เป็นเงาเดียว สรุปคือคู่นี้เค้ารักกันมากจนเป็นหนึ่งเดียว

หนังดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายของชีวิต

พ่อแม่ที่แก่ตัวลงอยู่เป็นเพื่อนกันจนถึงวันสุดท้าย การได้ตายอย่างสงบข้าง ๆ คนรัก มันก็น่าเศร้านะ แต่คงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว สำหรับคนมีคู่

สุดท้ายค่ะ และมันมักจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าของผู้หญิงเรา คือผัวมักจะชิงตายไปก่อน ในขณะที่เมียยังอยู่อึด อยู่ทน อยู่นาน นานมาก

หรือนี่อาจจะเป็นบทสรุปของผู้กำกับที่ว่าทำไมถึงเลือกให้ผู้หญิงเป็นเต่า

ทรหด แก่ง่าย และตายยาก สินะ

สุดท้ายเมื่อพระเอกของเราจากไป นางเอกของเราก็กลับไปเป็นเต่าแดง และกลับลงทะเลไป

ผู้หญิงส่วนมากก็มักจะกลับมาอยู่บ้าน ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในแบบเดิมที่ตัวเองเคยเป็นจนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึงนั้นแล

สรุป

The Red Turtle ในมุมมองของเราก็เป็นการเอารูปแบบหนึ่งของชีวิตมนุษย์มาเล่าผ่านหนังการ์ตูนแบบง่าย ๆ นั่นแหละค่ะ คือถ้าไม่มีเต่าแดง ซึ่งเหมือนเป็นโชคชะตา พรหมลิขิต หรือสิ่งมหัศจรรย์ ที่เข้ามานี่ ชีวิตของอีตาพระเอกก็คงจะเป็นไปในอีกมุมนึง อาจได้อยู่แก่บนเกาะ หรือ แพแตกจมน้ำตายกลางทะเลก็ว่ากันไป

เราจะไม่สรุปว่าวิถีแบบนี้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์หรือเปล่า เพราะมันขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคน เต่าแดงของแต่ละคน อาจจะกลายร่างเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อคู่ก็ได้

ใครดูแล้วคิดเห็นเช่นไรก็เล่าสู่กันฟังได้นะคะ

One thought on “The Red Turtle : เพราะชีวิตคือชีวิต [สปอยล์สุดชีวิต]

  1. Some may find the movie a bit obtuse in its innate lack of drama (though a devastating natural disaster occurs over midway through the film), while others may find poetic beauty in its guileless lack of complication. Whatever your perspective, there’s one thing for sure: The Red Turtle is unlike anything else you’ve seen in a while.

Leave a comment