DIARY

Where we belong…

Where We Belong “ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า” ไม่ใช่หนังรักวัยรุ่นอย่างที่โปสเตอร์หรือตัวอย่างพยายามจะชี้นำ มันคือหนังชีวิตที่นำเสนอเรื่องของสัจธรรมผ่านวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งในเมืองเล็กๆ
ในแต่ละบทสนทนาของตัวละครล้วนแฝงความหมายข้อคิด แต่ละการกระทำสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปของชีวิต

เพราะมีเหตุ จึงมีผล

เราเองอาจจะเคยเป็นอย่างซู เป็นอย่างเบล หรืออาจจะเป็นทั้งซู และเบล

เคยผ่านความที่รู้สึกของการเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ และตอนนี้ก็อาจจะเป็นเหมือนผู้ใหญ่ในเรื่อง

ในขณะที่เฝ้าบอกให้เด็กๆเป็นตัวของตัวเอง จริงใจต่อความรู้สึก แต่ตัวเองกลับหลอกลวงได้อย่างร้ายกาจ

สภาพสังคมในหนังก็พอจะทำให้เข้าใจถึงการกระทำและแนวคิดของซูได้ว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่ แต่ในขณะเดียวกันเบลกลับเลือกที่จะอยู่ทั้งที่เบลมีทางเลือกที่ดีกว่า

ในรายละเอียดของตัวละคร แต่ละตัวละครมีหลายมิติดี มีทั้งที่เปิดเผยให้เห็นในหลายด้าน และได้เห็นในด้านเดียว ว่ากันไปเป็นคนๆ เลยแล้วกัน

ซูเป็นเด็กฉลาด รู้จักใช้คน แต่ขาดความพร้อมบางประการ เข้มแข็ง แต่ก็เปราะบางมาก เย็นชา ลุ่มลึก กล้าหาญแต่ก็หวาดกลัวไปพร้อมๆกัน  จอนอแสดงออกมาได้ดีจากวิธีกลอกตาระหว่างที่พูด การนิ่งอึ้งไประหว่างบทสนทนา แววตาใสๆ ดูฉลาดแบบเด็กๆ

เด็กแบบซูมีอยู่เยอะ แล้วก็เหมือนจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ ความไม่พอใจต่อชีวิตจะผลักดันให้เธอก้าวต่อไปอย่างดุดันเกรี้ยวกราดต่อสิ่งรอบข้าง แล้วอาจจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรม ถ้าสุดท้ายเธอรู้สึกว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่เคยมีอะไรที่เป็นความสุขสำหรับเธอ หรือไม่มีอะไรที่เธอรู้สึกพอใจสักอย่าง

เบล เด็กผู้หญิงที่เหมือนหมาน้อย ในความร่าเริงสดใสที่เบลแสดงออก เบลกลับเก็บปัญหา และความรู้สึกเกลียดบางอย่างไว้ในใจและแทบจะไม่เปิดเผยมันออกมา เธอรักครอบครัว รักเพื่อนอย่างซื่อสัตย์เหมือนหมารักเจ้าของ รักขนาดว่ายอมตายแทนได้ เธอแสดงออกต่อแม่ที่อยู่กรุงเทพอย่างเป็นมิตร แต่เธอก็ไม่เคยยอมรับในสิ่งต่างๆที่แม่เสนอให้ สุดท้ายที่เบลทำคือเลือกที่จะทำเพื่อคนอื่น โดยวางอนาคตของตัวเองเอาไว้ข้างๆ มิวสิค มีรอยยิ้มที่เปิดเผย ดูสดใสน่ารัก เวลาที่อยู่กับคนอื่น แสดงออกเหมือนคนไม่คิดมาก แต่เป็นคนนคิดเยอะ บุคลิกน้องในเรื่อง คล้ายเรนนี่ หยางนะ จริงๆตอนเห็นใบปิดเรื่องนี้ แอบนึกถึงหนังเรือง Spider lilies ด้วยนะ

ซัน เด็กผู้ชายที่กำลังเติบโตขึ้นมาเพื่อจะแบกรับภาระครอบครัว ซันเป็นฟันเฟืองเล็กๆของที่บ้าน อยู่แบบเงียบๆ ทำตัวไร้ปัญหา ทั้งที่จริงๆแล้ว การเป็น LGBT ของซันเองอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ในไม่ช้า ซันเลือกที่จะปกปิดไว้ มีเพียงซู ผู้เป็นพี่สาวที่รู้เรื่อง และพี่สาวที่เป็นเหมือนเสาหลักของครอบครัวก็กำลังจะจากไปอยู่ที่อื่น ร้านก๋วยเตี๋ยวจึงกลายเป็นปัญหาที่ซันต้องขบคิด และจัดการต่อ ชอบจริตของน้องที่ค่อยๆเผยออกมาตอนพี่สาวซื้อเสื้อมาฝาก

พ่อซู ผู้ซึ่งเหมือนจะไม่ทำอะไรเลยนอกจากคุมเงินในบ้าน ผู้ใหญ่แบบพ่อซูนี่ ว่ากันตามตรงก็คือมีมาแต่ไหนแต่ไร มีกิจการ แล้วก็พยายามที่จะยกมันให้ลูกหลาน โดยที่ไม่ได้ลืมหูลืมตาว่าลูกหลานตัวเองทำอะไรได้บ้าง โอเคล่ะ เราเข้าใจได้ว่ากิจการนี้ มันอาจจะเป็นเหมือนความภูมิใจ เป็นท่อน้ำเลี้ยงของครอบครัว หรือใดๆก็ตาม แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันก็ต้องถามความสมัครใจของคนที่จะมาทำต่อด้วย แต่พ่อซูก็เหมือนผู้ใหญ่ทั้งหลายทั้งแหล่ ไม้แข็งไม่ได้ผลก็ใช้ไม้อ่อน ซึ่งพอถึงจุดแตกหัก มันมีทั้งความน่าสงสาร แล้วก็น่าผิดหวัง ผู้ชายคนนึง ต้องเซ็นยินยอมให้ภรรยาที่บริจาคอวัยวะ แล้วก็ยังต้องลงเอยด้วยการเสียลูกสาวไปอีกครั้งเพราะการกระทำของตัวเอง

มิว ตัวละครที่มาน้อย แต่มาแรง เรามองว่ามิวเป็นเด็กที่ต้องปากกัดตีนถีบ และที่มิวต้องลำบากทำงานตัวเป็นเกลียวนี่ส่วนนึงก็อาจจะเป็นเพราะซู

หนังพูดถึงประเด็นของการมีตัวตน การค้นหาตัวตน และการยอมรับในตัวตน

เราจึงได้เห็นตัวตนของคนหลายๆแบบจากหนังเนิบๆช้าๆเรื่องนี้

คนที่ไม่เห็นคุณค่าของการได้รับโอกาส และการมีชีวิต
คนที่ได้รับโอกาสแต่ยอมเสียมันไปเพราะความรัก
คนที่ใช้ความรักมาเหนี่ยวรั้งคนอื่น
คนที่ถูกความรักเหนี่ยวรั้งไว้
คนที่มีปมในใจเรื่องพ่อแม่
คนที่ไม่สามารถให้อภัย
คนที่ทำผิดแต่ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
คนที่สูญเสียคนที่รัก ทั้งจากเป็นและจากตาย
คนไม่สำคัญของคนที่ตัวเองมอบความรักให้

ฯลฯ

เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นกับเราทุกคนได้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง และก็มีทางเดียวที่จะดับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากเรื่องราวเหล่านี้ได้ คือ การปล่อยวาง

อย่างที่ในหนังสือของแม่ซูบอก เราไม่ใช่เจ้าของของทุกสิ่งบนโลกนี่ แม้กระทั่งร่างกายของเราก็ไม่ใช่

มีหลายประโยคในหนังที่บาดความรู้สึก แต่ฉากที่ชอบที่สุด คือตอนที่กล้อง close up ไปที่ถังเผากระดาษ รูระบายอากาศที่เป็นรูปหัวใจแล้วเห็นเปลวไฟไหววูบอยู่ในนั้น

ขณะที่ตัวละครในเรื่องกำลังรู้สึกเหมือนกับได้ส่งบุญ หรือสิ่งใดๆ ตามความเชื่อทางศาสนาไปให้กับแม่ของซูที่ตายไปแล้ว ทุกคนที่นั่นก็เหมือนกำลังถูกความรัก ความผูกพันแผดเผาใจตัวเองไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหนังจบ เพลง Let you go ที่ฟังวนอยู่หลายรอบก่อนดูหนัง จึงไม่ใช่เพลงที่จำกัดอยู่ที่การบอกลาระหว่างซู กับเบล แต่เป็นการบอกกับทุกตัวละครและคนดู

ถ้าคุณไม่สามารถปล่อยวางได้ คุณก็ไปต่อไม่ได้ หรือถ้าคุณจะไปต่อก็ต้องหอบเอาความเจ็บช้ำติดตัวไปทุกที่

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องปล่อยมันไปให้ได้

ย้อนกลับไปที่คำถามของหนัง ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า

คำตอบว่าจะมีหรือไม่มีจึงไม่สำคัญแล้วสำหรับเรา

ขอแค่หาให้เจอว่าที่ตรงไหนเป็นความสุข

ต่อให้เหลือเราอยู่คนเดียวบนโลก มันก็ยังเป็นความสุขอยู่ดี

นั่นเอง…

Leave a comment